คนไทยเราที่คุ้นเคยเรื่องจีนโบราณเช่นเรื่องสามก๊กคงทราบดีว่าคนสำคัญของการปกครองของแต่ละก๊กนั้นเรียกว่า "กุนซือ" และกุนซือที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ "ขงเบ้ง" ซึ่งคำว่ากุนซือ (军师) แปลว่า "ที่ปรึกษาทางการทหาร หรือผู้แนะนำวางแผนด้านการทหาร" ซึ่งดูจะตรงกับตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Advisor) ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของประธานาธิบดีสหรัฐในเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ
ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีและไม่จำเป็นต้องได้การยอมรับจากวุฒิสภาเช่นรัฐมนตรีหรือนายพลแห่งกองทัพสหรัฐ โดยตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาตินี้เกิดขึ้นในพ.ศ. 2496 อันเป็นช่วงสงครามเย็นและพัฒนาขึ้นมาเป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดตำแหน่งหนึ่งของวงการเมืองการปกครองสหรัฐอเมริกา
ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ จะเป็นประธานการประชุมของคณะกรรมการหลักของสภาความมั่นคงแห่งชาติร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติจะรายงานต่อประธานาธิบดีโดยตรงแบบว่าเป็นคนสนิทที่ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากประธานาธิบดีสหรัฐเป็นการส่วนตัว
นอกจากนี้ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติทำหน้าที่เป็นตัวแทนที่ซื่อสัตย์ในการคัดเลือกนโยบายสำหรับประธานาธิบดีในด้านของความมั่นคงของชาติที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสามารถให้คำแนะนำด้านสถานการณ์รายวัน (เนื่องจากความใกล้ชิดกับประธานาธิบดี) ต่อประธานาธิบดีโดยไม่ขึ้นกับผลประโยชน์ของหน่วยงานใดหรือบุคคลใดในยามวิกฤตการณ์ หรือ สถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสามารถดำเนินงานได้จากจากห้องสถานการณ์ทำเนียบขาว หรือศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินของประธานาธิบดีได้อีกด้วย
ที่ปรึกษาออกหนังสือเล่าพฤติกรรมฉาว
ครับ... ตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติเป็นตำแหน่งที่ประธานาธิบดีเป็นคนแต่งตั้งคนที่ไว้วางใจได้จริง ๆ ด้วยตัวเอง ในประวัติศาสตร์มีที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติจาก ปี 2496-2563 จำนวน 28 คน แต่มีเพียง นายจอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ คนที่ 3 ของประธานาธิบดีทรัมป์เพียงคนเดียวที่ได้เขียนหนังสือออกมาสาวไส้เจ้านายเก่าอย่างเผ็ดร้อนในหนังสือเรื่อง "The Room Where it Happened - ห้องที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น"
เนื้อหาโดยสังเขปของหนังสือเล่มนี้เริ่มด้วยการกล่าวหาว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองในการเลือกตั้ง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและเนื้อหายังมีข้อมูลที่เป็นความลับมากมายที่แสดงถึงถึงความเจ้าเล่ห์ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมาก่อนผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความปรารถนาที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการที่ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่สองถือเป็นความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดซึ่ง
นายจอห์น โบลตัน อ้างว่าเขายอมรับไม่ได้ โดยเริ่มต้นจากกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ชะลองบช่วยเหลือทางทหารแก่รัฐบาลยูเครนที่กองทัพยูเครนจำเป็นต้องนำไปใช้จ่ายเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของกองทัพรัสเซีย ที่รัฐสภาสหรัฐ ได้ผ่านมติเรียบร้อยแล้ว
แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กดดันผู้นำยูเครนว่า งบนี้จะปล่อยไปช่วยยูเครนก็ต้องแลกกับประธานาธิบดีคนใหม่ของยูเครน จะต้องตั้งเรื่องว่ากำลังสอบสวนกรณีนายโจ ไบเดน (คู่แข่งในการชิงชัยประธานาธิบดีกับทรัมป์) มีการได้รับผลประโยชน์ ที่ลูกชายของโจได้นั่งเป็นประธานบริษัทแก๊สใหญ่สุดของยูเครนโดยนายจอห์น โบลตันอ้างว่าเขาอยู่ในห้องที่เกิดเหตุเมื่อทรัมป์โทรศัพท์ไปต่อรองกับผู้นำยูเครนครั้งนั้นด้วย
นอกจากนี้นายโบลตันยังแฉถึงการที่ทรัมป์ได้ต่อรองแลกผลประโยชน์ส่วนตัวกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยขอให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงให้ช่วยซื้อสินค้าเกษตรที่เป็นสินค้าหลักของบรรดามลรัฐทางภาตตะวันตกกลางเป็นฐานเสียงของทรัมป์ เพื่อเขาจะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีในรอบสองนี้โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ประธานาธิบดีทรัมป์เห็นดีเห็นงามกับการที่ทางการจีนจับชาวอุยกูร์ในแคว้น
ซินเจียงกว่า 1 ล้านคนไปขังในค่ายกักกันเพื่อบังคับให้เลิกต่อต้านรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์อันขัดแย้งกับนโยบายหลักของสหรัฐอเมริกาในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างแรงมากทีเดียวโดยนายโบลตันเล่าในหนังสือว่า นายทรัมป์พูดเลยว่า ขอให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงช่วยเขาให้กลับได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกในสมัยที่สอง
ยังมีเรื่องการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดีปูติน ที่นายโบลตันตั้งข้อสังเกตว่าก็เช่นเดียวกัน คือ ทรัมป์ยอมอ่อนข้อให้ก็เพื่อให้รัสเซียช่วยในการเลือกตั้งของทรัมป์อีกด้วย ซึ่งหนังสือเล่มนี้คงทำความเสียหายต่อโอกาสในการเลือกตั้งประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่สองอย่างใหญ่หลวงแน่นอน
แฉทรัมป์โกงมรดกหลาน
หนังสืออีกเล่มหนึ่งเป็นของหลานสาวแท้ ๆของประธานาธิบดีทรัมป์ชื่อแมรี ทรัมป์ อายุ 55 ปี ผู้เป็นลูกของนายเฟรเดริค ทรัมป์ จูเนียร์พี่ชายคนโตพ่อแม่เดียวกันของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยแมรี ทัมป์เขียนหนังสือ ชื่อว่า "มากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ; ครอบครัวของเราได้ช่วยกันสร้างผู้ชายที่อันตรายที่สุดของโลกขึ้นมาได้อย่างไร? (Too Much and Never Enough; How My Family Created the World’s Most Dangerous Man)" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Simon & Schuster
หนังสือเล่มนี้จะวางตลาด ในวันที่ 28 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ซึ่งเป็นเวลาเพียง 3 เดือนก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนปีนี้เพื่อเปิดโปงประธานาธิบดีทรัมป์ให้พินาศย่อยยับไปเลยเพราะแค่เพียงตัวอย่างคือ เธอเล่าว่า อาทรัมป์โกงมรดกที่คุณปู่เฟรเดริก ทรัมป์ ตั้งเป็นกองมรดกให้แก่เหล่าทายาททั้งหมด โดยที่ทรัมป์อ้างบ่อยครั้งว่าว่า เขาได้รับเงินจากพ่อมาตั้งตัวแค่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น ที่แท้จริงแล้วประธานาธิบดีทรัมป์ได้เงินไปจากพ่อถึง 400 ล้านดอลลาร์ และเกิดขึ้นในช่วงที่พ่อของเขาเริ่มเป็นอัลไซเมอร์แล้วโดยตัวแมรี ทรัมป์และน้องชายถูกโกง จนเธอได้ฟ้องทรัมป์ในพ.ศ 2543 และถูกแกล้งต่างๆ นานาเนื่องจากพ่อของแมรี ทรัมป์ ตายตั้งแต่เมื่อมีอายุเพียง 42 ปี แมรีกับน้องจึงตกอยู่ในความดูแลของโดนัลด์ ทรัมป์ และถูกประธานาธิบดีทรัมป์โกงมรดกของเธอด้วย
ขณะนี้แมรี ทรัมป์ผู้จบปริญญาเอกด้านจิตวิทยาโดยได้เปิดธุรกิจให้คำปรึกษาแก่คนที่ปัญหาทางจิตเป็นที่น่าเชื่อถือของคนทั่วไป และในหน้าเว็บไซต์ของเธอแสดงความเสียใจอย่างมากเมื่อทรัมป์ชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2559 และหนังสือเล่มนี้ก็จะออกมาเพื่อสกัดไม่ให้ทรัมป์ได้เข้าทำเนียบขาวอีกครั้งหนึ่ง นั่นเอง
"มีชื่อเสียง" - Google News
July 01, 2020 at 02:54PM
https://ift.tt/3itdUs2
ทรัมป์ เจอมหกรรมแฉ! คนใกล้ตัวแห่เปลื้องพฤติกรรมฉาวทุกซอกมุม เรื่องงานยันครอบครัว - Sanook
"มีชื่อเสียง" - Google News
https://ift.tt/36UBHvx
No comments:
Post a Comment