ขบวนการเรียกร้องสิทธิของพลเมือง หรือ Civil Rights Movement เริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2453 นำโดยวิลเลียม อี.ดี.ดูบอยส์ นักเขียนและนักการศึกษาเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน เป็นขบวนการที่เรียกร้องสิทธิของคนอเมริกันผิวดำเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันกับคนอเมริกันทั่วไป มีการรวมกลุ่มก่อตั้งสมาคมแห่งชาติเพื่อความก้าวหน้าของประชาชนผิวสี หรือ The National Association for the Advancement of Colored People เรียกสั้นๆว่า เอ็นเอเอซีพี
สมาคมเอ็นเอเอซีพีต้องการสถาปนาความเท่าเทียมกันระหว่างประชาชนคนอเมริกันทุกสีผิวโดยใช้วิธีทางกฎหมาย คือการนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลสูงสุดสหรัฐฯกรณีที่มีการละเมิดกฎหมาย โดยเฉพาะตามบทแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 14 และมาตรา 15 ซึ่งเป็นเรื่องของการประกันความเท่าเทียมกันของประชาชนคนอเมริกันทั้งปวง
ขบวนการเรียกร้องสิทธิของพลเมืองมีบทบาทมากในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 (พ.ศ.2493) และช่วงทศวรรษที่ 1960 (พ.ศ.2503) ซึ่งผู้นำคนผิวดำที่มีชื่อเสียงมากในขณะนั้นคือมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ท่านผู้นี้ก่อตั้งสมาคมผู้นำคริสเตียนแห่งภาคใต้ หรือ Southern Christian Leadership Conference โดยต่อสู้เพื่อให้ยกเลิกการแบ่งแยกสีผิวทั่วทางภาคใต้ของสหรัฐฯด้วยหลักอหิงสา จนรัฐสภาสหรัฐฯยอมออกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองช่วงที่ 2 ในทศวรรษที่ 1960 เพื่อประกันความเสมอภาคคนอเมริกันโดยทั่วหน้า
ความเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมกันทางสีผิวในสหรัฐฯยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างสหพันธ์เพื่อความเท่าเทียมกันระหว่างคนต่างสีผิว Congress of Racial Equality หรือซีโออาร์อีที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2485 เป็นองค์การเพื่อสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ โดยมีผู้นำผิวสีเป็นประธานคนแรกคือ เจมส์ เลนนาร์ด ฟาร์เมอร์ มีภารกิจที่ระบุไว้ชัดเจนคือ “จะนำมาซึ่งความเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ความเชื่อ เพศ อายุ ความพิการ รสนิยมทางเพศ ศาสนา หรือเชื้อชาติ”
ซีโออาร์อีในสมัยของฟาร์เมอร์มีนโยบายที่ตั้งใจให้มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจเพื่อความเท่าเทียมกันระหว่างคนต่างผิวสีด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง แต่ซีโออาร์อียุคหลังจากฟาร์เมอร์ ก็เปลี่ยนมาเป็นการต่อสู้ด้วยการสนับสนุนการใช้กำลังและความรุนแรงในการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมให้คนผิวสีผ่าน Black Power หรือพลังผิวดำ
ซีโออาร์อียังสนับสนุนให้คนผิวดำรวมตัวกันเป็นกลุ่มการเมือง กลุ่มเศรษฐกิจ และกลุ่มสังคม เพื่อให้คนผิวสีเข้มแข็งพอที่จะแยกตัวออกจากสังคมคนผิวขาวได้ ซึ่งนโยบายที่ต้องการแยกคนผิวสีออกมาเป็นเอกเทศนี้เกิดจากความเชื่อที่ว่า คนผิวดำไม่มีโอกาสได้รับสิทธิความเท่าเทียมกับคนผิวขาวในสังคมที่มีคนผิวขาวเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศ
110 ปีผ่านไป แทนที่ปัญหาความเท่าเทียมกันระหว่างสีผิวจะคลี่คลายหายไป แต่ตรงกันข้ามกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ตั้งแต่ต้น พ.ศ.2563 จนถึงขณะที่ผมเรียนรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพอยู่นี้การเหยียดผิวและการเลือกปฏิบัติในสหรัฐฯเกิดขึ้นมาก และมีการกระจายขยายไปในสื่อต่างๆเยอะแยะ นอกจากการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ ที่ถูกตำรวจใช้เข่ากดจนขาดใจตายแล้ว ยังมีกรณีที่นายอาหมัด อาร์เบอรี ถูกยิงตายขณะที่วิ่งออกกำลังกาย โดยพ่อลูกผิวขาว พร้อมอ้างว่านายอาร์เบอรีเป็นโจรที่ทำร้ายลูกชาย ทั้งที่นายอาร์เบอรีไม่มีอาวุธ
หรือที่ผมยกตัวอย่างเมื่อวันก่อน นายฮิเมเนซ ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น เชื้อสายละตินอเมริกา ถูกตำรวจใส่กุญแจมือระหว่างถ่ายทอดสดการประท้วง เจ้าหน้าที่บอกว่าที่จับกุมเพราะนายฮิเมเนซไม่ยอมออกจากจุดที่เจ้าหน้าที่บอก ขณะที่นักข่าวผิวขาวที่อยู่ใกล้กันกลับไม่ถูกจับกุม
สหรัฐฯวนอยู่กับการประท้วงเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันมานานนับศตวรรษ
เฮ้ย ทรัมป์ ก่อนที่ยูจะชี้นิ้วสั่งประเทศโน้นชาตินี้ จงทำประเทศของยูให้คนมีความเท่าเทียมกันให้ได้ซะก่อน.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com
อ่านเพิ่มเติม...
"มีชื่อเสียง" - Google News
June 03, 2020 at 05:01AM
https://ift.tt/3gGyT9I
เปิดฟ้าส่องโลก : อยากเท่าเทียมนับศตวรรษ - ไทยรัฐ
"มีชื่อเสียง" - Google News
https://ift.tt/36UBHvx
No comments:
Post a Comment